กรุงเทพมหานคร – ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในพิธีเปิดงานโครงการ “เมืองยั่งยืน 2023” (Sustainable City 2023) ซึ่งเป็นงานสัมมนาที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช. หรือ ONDE) และสมาคมผู้ใช้ดิจิทัลไทย (DUGA) ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ ในวันที่ 21 -22 มิถุนายน พ.ศ. 2566 ณ ห้องประชุม Mayfair Ballroom ชั้น 11 โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ โดยมีวิทยากรจากหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ร่วมปาฐกถาและสัมมนาวิชาการ เพื่อสร้างความตระหนัก ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางในการพัฒนาเมืองได้อย่างสร้างสรรค์เหมาะสมกับท้องถิ่น ให้น่าอยู่ ทันสมัย อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นเวทีในการแสดงนวัตกรรมทางด้านการพัฒนาเมืองในทุกองค์ประกอบ เพื่อการพัฒนาโครงการอย่างชาญฉลาดและเหมาะสม ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างเครือข่ายเมืองยั่งยืนร่วมกันอย่างบูรณาการอย่างยั่งยืน
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า การขยายตัวของสังคมเมือง (Urbanization) เป็นหนึ่งในแนวโน้มและความท้าทายสำคัญ Megatrends ที่โลกจะต้องเผชิญในคริสต์ศตวรรษที่ 21 โดยองค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่า ภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) โลกจะมีประชากรเมืองประมาณ 2.4 พันล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 66 ของประชากรโลก โดยทวีปเอเชียและแอฟริกาจะมีอัตราการขยายตัวความเป็นเมืองมากที่สุด สำหรับประเทศไทยมีการขยายตัวความเป็นเมืองมาอย่างต่อเนื่อง โดยแนวโน้มการกลายเป็นเมืองที่สำคัญในอนาคต คือการเติบโตของเมืองขนาดกลางและขนาดเล็ก เมืองศูนย์กลางระดับภูมิภาคและเมืองขนาดกลางจะมีความหนาแน่นประชากรเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเศรษฐกิจของเมืองในส่วนภูมิภาคหลายเมืองจะเติบโตในอัตราที่สูงกว่ากรุงเทพฯ และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ (สำนักงานสถิติแห่งชาติ 2562) การกลายเป็นเมืองนั้น เป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย ในปัจจุบันเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกประสบปัญหาและความท้าทายมหาศาล เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ปัญหาเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งทำให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนมีความจำเป็นที่จะต้องแก้ปัญหาและพัฒนาเมืองเพื่อความยั่งยืน โดยคำจำกัดความ “ความยั่งยืนของเมือง” คือ เมืองที่มีกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องและสมดุล ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่สำคัญ เช่น ความสามารถในการยืดหยุ่นรับการเปลี่ยนแปลง (Resilience) การพึ่งพาตนเอง (Self-reliance) และ ประโยชน์ต่อเมืองอื่น (Positive Externality) โดยประเทศไทยมีนโยบายและยุทธศาสตร์ชาติที่ให้ความสำคัญ เรื่องเมืองสีเขียว หรือ เมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน ซึ่งให้ความสำคัญกับเมืองในหลายบทบาท เช่น เมืองที่สนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เมืองที่เอื้อต่อการสร้างชีวิตและสังคมที่มีคุณภาพ และปลอดภัย เมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เมืองที่น่าอยู่และยั่งยืน ซึ่งทุกประเด็นปัจจัยที่กล่าวมานี้ ดิจิทัลเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทเป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ ให้เป็นเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน รวมทั้งสร้างเครื่องมือสื่อสารในการเข้าถึงประชาชนในวงกว้าง เพื่อให้สมกับเป็นเมืองยั่งยืนที่ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป
คุณสุภาวดี ตันติยานนท์ นายกสมาคมผู้ใช้ดิจิทัลไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานครั้งนี้เพื่อเป็นเวทีพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างเครือข่ายเมืองยั่งยืนร่วมกันอย่างบูรณาการ ซึ่งการจัดงานเมืองยั่งยืน 2023 ในปีนี้ นอกจากจะมีส่วนแสดงนวัตกรรมเพื่อการสร้างเมือง หัวข้อปาฐกถาพิเศษ จากองค์ปาฐกในหลากหลายมิติกว่า 12 หัวข้อ ยังมีการนำเสนอผลงานการพัฒนาสร้างเมืองยั่งยืนของเมืองต่าง ๆ มานำเสนอเพื่อเป็นตัวอย่างองค์ความรู้ที่ทำให้พวกเราได้รับฟังเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาเมือง พัฒนาท้องถิ่น โดยการจัดงาน 2 วัน มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 500 ท่าน ที่เดินทางมาทั้งจากส่วนกลางและทั่วประเทศ ซึ่งทาง DUGA หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เมืองยั่งยืน 2023 จะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการริเริ่มและพัฒนานวัตกรรมทางการบริหารเมือง ตลอดจนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ไปใช้จริง ในการบริหารงานตามพื้นที่ท้องถิ่นของตนเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนในเมืองต่อไป
สำหรับการสัมมนานี้มีกลุ่มเป้าหมายได้แก่ ผู้บริหารและบุคลากรท้องถิ่นทั่วประเทศ ผู้บริหารและบุคลากรส่วนกลางจังหวัดทั่วประเทศ ผู้บริหารและบุคลากรภาครัฐส่วนกลาง ผู้บริหาร รวมถึงอาจารย์จากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ และผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้ที่สนใจ
ประกอบด้วยการสัมมนาวิชาการและปาฐกถาพิเศษจากวิทยากรขององค์กรระดับประเทศ โดยในวันแรกจะมีหัวข้อดังนี้ “ พัฒนาเมืองในอนาคตให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน ” โดย คุณชณกช ชสิธภนญ์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์การพัฒนาเมือง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ “จาก SDGs สู่ ESG ทำไม จึงสำคัญ ” โดย ดร.ศิริกุล เลากัยกุล Founder, Brand Strategist & Sustainability Advisor The Brandbeing Consultant Co., Ltd. “ คาร์บอนเครดิต พิชิตโลกร้อน ” โดย ดร.พฤฒิภา โรจน์กิตติคุณ ผู้อำนวยการ สำนักรับรองคาร์บอนเครดิต องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) “นวัตกรรมเพื่อความยั่นยืนของทรัพยากรน้ำ ” โดย ผศ.ดร.อักษรา พฤทธิวิทยา ภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย “การจัดการท่องเที่ยววิถีใหม่ บนฐานเศรษฐกิจหมุนเวียน” โดย คุณสมศักดิ์ บุญคำ ผู้ก่อตั้ง บริษัท โลเคิล อไลค์ จำกัด “ ยกระดับสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ” โดย คุณดวงพร ขุนทอง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำหรับในวันที่ 2 จะมีหัวข้อ “ โลกสีเขียว รอไม่ได้แล้ว วิถีใหม่ของโลกนับจากนี้ไป ” โดย ดร.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ นักวิชาการอาวุโส นโยบายด้านภูมิอากาศและการพัฒนาสีเขียว สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) “ การใช้ดิจิทัลเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาเมืองให้น่าอยู่ และยั่งยืน ทำอย่างไร ” โดยดร.นนท์ อัครประเสริฐกุล ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ฝ่ายส่งเสริมเมืองอัจฉริยะ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) พร้อมด้วยการนำเสนอผลงานการพัฒนาเมืองโดย คุณพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรียะลา คุณบรรจง โฆษิตจิรนันท์ นายกเทศมนตรีร้อยเอ็ด ดร.อัญชลี ชุมนุม ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลเมืองยโสธร และคุณทรงชัย วงษ์วัชรดำรง นายกเทศมนตรีเมืองทุ่งสง
บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ซึ่งเข้าร่วมในการสัมมนาครั้งนี้ ได้กล่าวถึง การปรับตัวของธุรกิจพลังงานสู่ความยั่งยืน โดยยึดกรอบแนวคิดด้านความยั่งยืนของ ปตท.สผ. 3 ด้าน ประกอบด้วย 1. การมุ่งสู่องค์กรแห่งความเป็นเลิศ 2. การกำกับดูแลกิจการที่ดี การบริหารความเสี่ยง และการกำกับการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ 3. การสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืน โดยทุก ๆ ปี ปตท.สผ. มีการประเมินและทบทวนประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนของบริษัท ครอบคลุมด้าน ESG และนำผลดังกล่าวมาใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงกลยุทธ์องค์กร โดยปีที่ผ่านมา บริษัทได้กำหนดกลยุทธ์หลักขององค์กร 3 ด้าน
1. Drive Value คือ การขับเคลื่อนการเติบโตในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ทั้งการเพิ่มปริมาณการผลิตจากโครงการในประเทศไทยเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ
2. Decarbonize การลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 และมุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ
3. Diversify คือการเติบโตในธุรกิจใหม่ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูง หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ รวมทั้ง เทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) และธุรกิจพลังงานรูปแบบใหม่สำหรับอนาคต เช่น ไฮโดรเจน
สำหรับการพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ ของ ปตท.สผ. เพื่อช่วยสนับสนุนการพัฒนาเมืองยั่งยืนนั้น บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ ARV ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ให้บริการด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ ได้มีการพัฒนานวัตกรรม เช่น VARUNA Smart Forest Solution เพื่อการบริหารจัดการพื้นที่สีเขียว (Green Area Management) โดยใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม และโดรนมัลติสเปกตรัม เพื่อประมวลข้อมูลเชิงพื้นที่ด้วย AI ในการบริหารจัดการ วางแผนและติดตามการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่สีเขียวเพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่พื้นที่และสิ่งแวดล้อม และสามารถคำนวณคาร์บอนเครดิตผ่านแพลตฟอร์มได้ในรูปแบบใหม่บนพื้นที่ขนาดใหญ่ (Large Scale Carbon credit Solution) สามารถช่วยประหยัดเวลาและแรงงานในการติดตามการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีความซับซ้อนและเข้าถึงยาก
นอกจากนี้ ยังมี BEDROCK Smart City Data Platform ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลดิจิทัลที่รองรับการเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานทั้ง ภาครัฐ เอกชน และประชาชนในเมืองอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้วางแผนบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาเมืองที่มีความซับซ้อนให้มีคุณภาพอย่างยั่งยืน และพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองอัจฉริยะ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลข้อมูลเมืองให้กับท้องถิ่นไทยกว่า 100 แห่งแล้ว รวมถึงระบบเพื่อการสนับสนุนการบริการประชาชนและการทำงานของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เช่น ระบบการขออนุญาตก่อสร้าง ระบบเพื่อการจัดเก็บภาษี เป็นต้น นับเป็นการนำนวัตกรรมเข้ามาช่วยพัฒนาและดูแลท้องถิ่นไทย
การสัมมนานี้เป็นเวทีในการร่วมแลกเปลี่ยนความรู้จากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงการนำเสนอผลงานการพัฒนาเมือง การนำเสนอเทคโนโลยีและโซลูชั่น ให้เหมาะสมกับท้องถิ่น น่าอยู่ ทันสมัย และยั่งยืน พร้อมด้วยมอบโล่เกียรติคุณให้แก่องค์กรที่ร่วมนำเสนอผลงานนวัตกรรมพัฒนาเมืองยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีการแสดงผลงานของบูธต่าง ๆ จากองค์กรเอกชนและภาครัฐที่สนับสนุนเมืองยั่งยืน ซึ่งจะทำให้ผู้นำชุมชนได้มีความเข้าใจและนำเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์และสร้างเครือข่ายเมืองยั่งยืนร่วมกันอย่างบูรณาการ เพื่อประเทศได้พัฒนาและเจริญก้าวหน้าต่อไปในอนาคต
ติดตามข่าวประชาสัมพันธ์
https://whatjournal.ixz.one/
No comments:
Post a Comment